จากคนหนุ่มที่ทำงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาตลอดเกือบ 30 ปี ได้หันหลังให้กับธุรกิจที่ทำรายได้สูงมาปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองอย่างมุ่งมั่น หนุ่มนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างผู้นี้ก็คือ คุณเอกภพ วิญญาภาพ ในวัยเข้าสู่ 50 ปีต้นๆ ทิ้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ทำกับพ่อ เพื่อมาสร้างฝันที่ตนเองเคยวาดฝันไว้กับความรู้ด้านไม้ผลที่ตัวเองเรียนจบมาให้เป็นจริง เมื่อจบชั้น ปวส. จากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเกษตรลำปาง(มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง) ได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ที่สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ (มหาวิทยาลัยแม่โจ้) สาขาไม้ผล (รุ่น 4) ในปี พ.ศ. 2530 หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วได้ทำงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่กับบริษัทของพ่อ (พ่อจบแม่โจ้) ได้ตระเวนขึ้นเหนือล่องใต้หลายจังหวัดอยู่นานร่วม 30 ปี เกิดความเบื่อหน่ายและอยากใช้วิชาชีพที่ตนเองเรียนมาลงมือปฏิบัติเองบ้าง ได้ขอใช้พื้นที่ว่างเปล่าของพ่อ อยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้านห้วยฮี ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ในปี พ.ศ. 2555 นำรถแทรกเตอร์เข้าไถปรับพื้นที่ เพื่อเตรียมปลูกไม้ผล ตอนนั้นไม่ได้คิดจะปลูกมะม่วง คิดแต่จะปลูกไม้ผล จึงนำความนี้ไปปรึกษากับอาจารย์ภาควิชาไม้ผลที่แม่โจ้ คือ ผศ. พาวิน มะโนชัย ที่เคยเป็นนักศึกษาแม่โจ้ รุ่น 51 รุ่นเดียวกัน ว่าควรจะปลูกพืชอะไรดี ผศ. พาวิน มะโนชัย แนะนำให้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด หาตลาดง่าย ได้ราคาสูง และกิ่งพันธุ์ยังหาง่าย ดังนั้น จึงตกลงใจจะปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและติดต่อซื้อกิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 500 กิ่ง
พื้นที่สวนแห่งนี้แต่ก่อนนั้นคุณพ่อของเขาซื้อไว้เพียง ไร่ละ 500 บาท เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว พื้นที่อยู่ท้ายหมู่บ้านห้วยฮี ใกล้กับคลองชลประทาน ได้ปล่อยเป็นพื้นที่ว่างเปล่าและได้ขุดดินออกไปถมที่ กลายเป็นสระน้ำที่ซึมจากตาน้ำ ชาวบ้านนำวัวควายเข้ามาเลี้ยงกินน้ำจากสระนี้ ดินดีเหมาะที่จะปลูกพืชอะไรก็ได้ ชาวบ้านที่นี่ส่วนมากทำนากัน ชาวบ้านมีอัธยาศัยดี สวนมะม่วงที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นสวนมะม่วงแห่งแรกของหมู่บ้านที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด ชาวบ้านเรียกสวนมะม่วงนี้ว่า สวนมะม่วงเสี่ยเอก กิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 500 กิ่ง นำมาปลูกตามคำแนะนำของ ผศ.พาวิน มะโนชัย โดยให้ปลูกที่ระยะระหว่างต้น 3 เมตร และระยะระหว่างแถว 4 เมตร ขุดหลุม ขนาด 60×60 เซนติเมตร ใหญ่กว่าปกติที่นิยมขุดหลุม 50×50 เซนติเมตร โดยแยกหน้าดินไว้ด้านหนึ่งคลุกเคล้าปุ๋ยคอกที่หมักทิ้งไว้ 1 ปี รองก้นหลุมด้วยโดโลไมต์ก่อนเอากิ่งพันธุ์ลงปลูกจนครบ 500 กิ่ง แล้วขุดหลุมขนาดเดียวกัน ทำเหมือนกันอีก 700 หลุม เพื่อปลูกต้นตอมะม่วงแก้ว มะม่วงตลับนาค อายุ 8 เดือน สูง 80เซนติเมตร จนเต็มพื้นที่ รวม 1,200 ต้น ในพื้นที่ 20 ไร่ พร้อมปลูกบ้านพักคนงาน 1 หลัง เพื่อให้อาศัยอยู่กับครอบครัวในสวน
วิธีการให้น้ำ…ต้นมะม่วงแต่ละหลุมวางหัวมินิสปริงเกลอร์ไว้ประจำต้นทุกต้น ปั๊มแรงดันสูงท่อส่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ส่งไปตามท่อย่อ พีวีซี 2 นิ้ว เป็นสายหลักเข้าไปในสวน ก่อนแยกเข้าท่อหัวสปริงเกลอร์ขนาด 1/2 นิ้ว (4 หุน) น้ำสูบจากสระน้ำ กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ลึก 4 เมตร เป็นน้ำที่ซึมขึ้นมาจากตาน้ำ มีน้ำใสและมีน้ำอยู่ตลอด เนื่องจากระดับน้ำในสระจะขึ้นๆ ลงๆ ท่อดูดของปั๊มจึงใช้ท่ออ่อนเพื่อให้อ่อนตัวได้ตามการขึ้นลงของระดับน้ำที่หัวกะโหลกปลายท่อดูดติดกับลูกลอย การให้น้ำปล่อยสลับกัน ปล่อยแต่ละแถว 3-5 วัน ต่อครั้ง หรือความถี่ของการให้น้ำขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ เมื่อต้นมะม่วงจากกิ่ง 500 ต้น เจริญเติบโตแตกยอดสมบูรณ์ดี อายุพอจะตัดไปเสียบยอดกับต้นตอแก้วและตลับนาคทั้ง 700 ต้นแล้ว จึงตัดไปเสียบยอดจนครบ เมื่อใกล้ถึงฤดูหนาวได้สังเกตและคาดการณ์ระยะเวลาแล้วว่า มะม่วงควรจะออกช่อดอก จึงหยุดให้น้ำเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่หน้าแล้งผ่านมาน้ำในสระแห้งไม่เพียงพอ จนต้องเจาะบาดาลลึก 132 เมตร สูบขึ้นมาช่วยและให้น้ำถี่ขึ้นทุก 2 วัน
การให้ปุ๋ย…ให้ปุ๋ยคอกหมักค้างปี ปีละ 4 ครั้ง ประมาณต้นละ 5 กิโลกรัม ส่วนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ให้ปีละ 4 ครั้ง การใส่ปุ๋ยครั้งแรก เมื่อใกล้จะแตกใบอ่อน จึงให้ปุ๋ย สูตร 25-7-7 ในอัตรา 300-400 กรัม ต่อต้น เป็นเรื่องยากต่อการกะคำนวณปริมาณปุ๋ยที่ใส่ในแต่ละครั้ง จึงบอกให้คนงานใส่ปุ๋ย ครั้งละ 2 กระป๋อง ของกาแฟกระป๋องจะได้ปริมาณใกล้เคียงกับ 300-400 กรัม การใส่ปุ๋ย ครั้งที่ 2 หลังจากใบอ่อนเปลี่ยนเป็นใบแก่ ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ในอัตราส่วนเท่าเดิม การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 เมื่อใกล้จะออกดอกจึงใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 ใช้ปุ๋ย สูตร 13-13-21 ในอัตราเท่าเดิม และการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 4 ใส่ระยะที่ติดผล ใช้ปุ๋ย สูตร 18-24-24 ในอัตราเดิมเช่นกัน
ศัตรูพืช…โรคที่พบ เป็นโรคแอนแทรกโนส ทำลายใบอ่อน ทำให้ใบบิดเบี้ยวเป็นจุดสีน้ำตาล ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราอมิสตา แมลงที่พบระบาดทำความเสียหาย เช่น ด้วงงวงกรีดใบ แมลงค่อมทอง เพลี้ยจักจั่นมะม่วงใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงเซฟวินฉีดพ่นในช่วงแตกใบอ่อน มะม่วงเริ่มมีช่อดอกจะพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราผสมกับสารเคมีพวกคาร์โบซัลแฟน (carbosulfan) และฮอร์โมนฉีดพ่น ปกติแล้วระยะดอกบานห้ามฉีดพ่นสารเคมี เนื่องจากการฉีดพ่นสารเคมีทำให้ดอกมะม่วงได้รับความเสียหายและสารออกฤทธิ์ของสารเคมีจะทำลายแมลงที่ช่วยผสมเกสร แต่ในช่วงดอกบานมักมีศัตรูเข้าทำลายจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการฉีดพ่นสารเคมีบ้าง หลังจากมะม่วงติดผลแล้วพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราอีกครั้ง การตัดหญ้าใช้เครื่องตัดหญ้าสะพาย ตัดตามสภาพเหตุการณ์
เมื่อมะม่วงอายุได้ 2 ปี บางต้นเริ่มติดผลบ้างแล้ว ได้เด็ดทิ้งปล่อยให้ติดไว้เพียง ต้นละ 2-3 ผล เจ้าของห่อด้วยถุงคาร์บอน 2 ชั้น หรือถุงดำห่อพร้อมกันหมด จึงไม่รู้ว่าผลไหนแก่พร้อมจะเก็บ คนงานต้องแกะถุงแทบทุกถุงเพื่อเปิดดูผลที่แก่ ซึ่งเสียเวลาไปมาก เพราะยังขาดประสบการณ์ในการห่อ ผลผลิตที่ได้ในชุดแรกนี้มีจำนวนน้อยไม่กี่พันผล จึงขายได้บ้างและแจกจ่ายให้กับเพื่อนๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สวน จนเข้าสู่ปีที่ 3 ต้นมะม่วงมีความสมบูรณ์เต็มที สูงเท่าระดับศีรษะแล้วจึงให้ติดผลมากได้ เมื่อผลมะม่วงมีขนาด 11 เซนติเมตร จะห่อด้วยถุงคาร์บอน 2 ชั้น หรือถุงดำที่ซื้อมาเป็นจำนวนมากกว่า 50,000 ถุง จากตลาดคำเที่ยง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ก่อนการห่อ ผศ. พาวิน มะโนชัย ได้พาไปดูสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้รู้เทคนิคในการห่อ เขาได้แนะนำให้ทำเครื่องหมายติดไว้ที่ถุงด้วยริบบิ้นสีต่างๆ ถ้าใช้ปากกาเคมีทนน้ำก็อาจจางไปได้ ให้เย็บริบบิ้น(ใช้ที่เย็บกระดาษ) ติดกับถุงมีริบบิ้น ของ คุณเอกภพ กำหนดไว้ 11 สี หรือ 11 ชุด ห่อสัปดาห์ละ 1 สี หรือสัปดาห์ละชุด ไล่ไปเรื่อยๆ จนครบ โดยเด็ดผลที่ไม่สมบูรณ์ มีตำหนิ ผลบิดเบี้ยวออก ให้เหลือผลที่สมบูรณ์ทรงสวยเพียงช่อละ 1 ผล
การเก็บเกี่ยว…สังเกตเมื่อผลเริ่มจะแก่ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน หรือนับจากติดผล ประมาณ 100-110 วัน ใบมะม่วงเริ่มลู่ลง จึงเริ่มแกะห่อชุดแรก สังเกตก้นผลเริ่มเหลืองจึงเก็บ เลือกผลที่แก่จัดเพื่อลดปัญหาการบ่ม ผลมะม่วงที่ได้มีผิวสีเหลืองเข้มอร่ามนวลงามไร้ตำหนิ ผิวเต่งตึง ผลใหญ่ ผลไหนที่ยังไม่แก่ก็ปล่อยไว้ก่อน รอเก็บในชุดต่อไป ทยอยเก็บไปเรื่อยๆ จนหมดทั้ง 11 ชุด ดังนั้น ผลผลิตจึงออกเป็นระยะๆ มีไม่มากจนเกินไป ช่วยให้สามารถบริหารการตลาดได้ง่าย
การตลาด…มักเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมหาตลาดไว้รองรับ มะม่วงติดริบบิ้นชุดแรกที่เก็บได้นำไปเสนอขายกับร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงในเมืองลำปาง แต่ถูกกดราคาอย่างมากจึงไม่ขาย นำไปขายที่ตลาดสีเขียวหน้า ธ.ก.ส. ลำปาง ได้รับการตอบรับดี จากนั้น คุณอำไพ ผู้เป็นภรรยาเรียนที่แม่วังลำปางและแม่โจ้พร้อมกัน แต่ที่แม่โจ้ คุณอำไพเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์และสหกรณ์ ได้เสนอขายมะม่วงผ่านอินเตอร์เน็ตทางโซเชียลมีเดีย เริ่มจากเพื่อนๆ ที่ทำงานตามธนาคาร บริษัทประกันภัย และบริษัทต่างๆ ขายพร้อมกับข้าวเหนียว ได้รับการตอบรับดีมาก โดยเพื่อนๆ สั่งไปเพื่อเป็นของฝากหรือแจกให้กับผู้ร่วมงาน ขณะเดียวกันร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงในเมืองเชียงใหม่ขอให้ส่งไปทุกสัปดาห์ เนื่องจากมะม่วงที่เชียงใหม่หมดก่อนแล้วส่งได้ไม่กี่ครั้งมะม่วงก็หมดเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่ามะม่วงจากสวน จำนวน 5 ตัน จะขายได้หมดโดยไม่ผ่านตลาดขายส่งหรือส่งออกต่างประเทศ เคยมีเพื่อนชาวสวนมะม่วงชวนให้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อส่งมะม่วงออกต่างประเทศ แต่ก็ได้ปฏิเสธไป
การตัดแต่งกิ่งเพื่อลดจำนวนกิ่ง…การตัดแต่งกิ่งเร็วทำให้การแตกยอดใหม่การออกช่อย่อมเร็วตามการตัดแต่งกิ่ง เริ่มหลังจากเก็บมะม่วงหมดแล้ว เลือกตัดกิ่งที่ชี้ลงดิน กิ่งที่พุ่งเข้าหาทรงพุ่ม กิ่งกระโดง กิ่งโคนต้น เพราะกิ่งเหล่านี้มักไม่ออกช่อดอก และรูดใบทิ้งจนทรงพุ่มโปร่ง
นอกจากมะม่วงแล้ว ที่สวนได้ปลูกแก้วมังกร 100 ต้น มะนาวไร้เมล็ด 300 ต้น และไผ่กิมซุ่งอีก 100 กอระบบการให้น้ำไผ่ไม่ต่างไปจากมะม่วง ทำให้มีรายได้หมุนเวียนระหว่างที่มะม่วงยังไม่ให้ผลผลิต คุณเอกภพยังได้ทำสวนส้มสายน้ำผึ้งอยู่ที่บ้านค่ากลาง ตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง ไม่ห่างกันมากนัก จำนวน 50 ไร่ ปลูกส้มสายน้ำผึ้ง 3,000 ต้น กับมะนาวไร้เมล็ดอีก 1,000 ต้น มีคนงานประจำ 5 คน จึงต้องเดินทางไปมาระหว่างสวนส้มและสวนมะม่วงเป็นประจำ
ในอนาคต คุณเอกภพได้วางแผนไว้ว่า จะมีโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะม่วงและมะนาว ซึ่งขณะนี้คุณอำไพได้ทำน้ำมะนาวพร้อมดื่มออกจำหน่ายบ้างแล้ว โดยได้รับคำแนะนำการผลิตจากอาจารย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง
น้ำดอกไม้สีทองรุ่นแรกทำให้เจ้าของสวนมีกำลังใจกับ 3 ปี ที่ลงทุนลงแรงไป บนพื้นที่ 20 ไร่ พร้อมที่จะต้องต่อสู้ต่อไป ถึงแม้คุณเอกภพไม่มีประสบการณ์การปลูกมะม่วงมาก่อน แต่มีที่ปรึกษาที่ดี เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ผลทุกขั้นตอน ไม่ว่าคุณเอกภพหรือว่าใครก็ตาม ย่อมประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเช่นกัน…
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณเอกภพ วิญญาภาพ โทร. (093) 135-3131
ในปี พ.ศ. 2555 นำรถแทรกเตอร์เข้าไถปรับพื้นที่ เพื่อเตรียมปลูกไม้ผล ตอนนั้นไม่ได้คิดจะปลูกมะม่วง คิดแต่จะปลูกไม้ผล จึงนำความนี้ไปปรึกษากับอาจารย์ภาควิชาไม้ผลที่แม่โจ้ คือ ผศ. พาวิน มะโนชัย ที่เคยเป็นนักศึกษาแม่โจ้ รุ่น 51 รุ่นเดียวกัน ว่าควรจะปลูกพืชอะไรดี ผศ. พาวิน มะโนชัย แนะนำให้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด หาตลาดง่าย ได้ราคาสูง และกิ่งพันธุ์ยังหาง่าย ดังนั้น จึงตกลงใจจะปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและติดต่อซื้อกิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 500 กิ่ง
พื้นที่สวนแห่งนี้แต่ก่อนนั้นคุณพ่อของเขาซื้อไว้เพียง ไร่ละ 500 บาท เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว พื้นที่อยู่ท้ายหมู่บ้านห้วยฮี ใกล้กับคลองชลประทาน ได้ปล่อยเป็นพื้นที่ว่างเปล่าและได้ขุดดินออกไปถมที่ กลายเป็นสระน้ำที่ซึมจากตาน้ำ ชาวบ้านนำวัวควายเข้ามาเลี้ยงกินน้ำจากสระนี้ ดินดีเหมาะที่จะปลูกพืชอะไรก็ได้ ชาวบ้านที่นี่ส่วนมากทำนากัน ชาวบ้านมีอัธยาศัยดี สวนมะม่วงที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นสวนมะม่วงแห่งแรกของหมู่บ้านที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด ชาวบ้านเรียกสวนมะม่วงนี้ว่า สวนมะม่วงเสี่ยเอก กิ่งพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 500 กิ่ง นำมาปลูกตามคำแนะนำของ ผศ.พาวิน มะโนชัย โดยให้ปลูกที่ระยะระหว่างต้น 3 เมตร และระยะระหว่างแถว 4 เมตร ขุดหลุม ขนาด 60×60 เซนติเมตร ใหญ่กว่าปกติที่นิยมขุดหลุม 50×50 เซนติเมตร โดยแยกหน้าดินไว้ด้านหนึ่งคลุกเคล้าปุ๋ยคอกที่หมักทิ้งไว้ 1 ปี รองก้นหลุมด้วยโดโลไมต์ก่อนเอากิ่งพันธุ์ลงปลูกจนครบ 500 กิ่ง แล้วขุดหลุมขนาดเดียวกัน ทำเหมือนกันอีก 700 หลุม เพื่อปลูกต้นตอมะม่วงแก้ว มะม่วงตลับนาค อายุ 8 เดือน สูง 80เซนติเมตร จนเต็มพื้นที่ รวม 1,200 ต้น ในพื้นที่ 20 ไร่ พร้อมปลูกบ้านพักคนงาน 1 หลัง เพื่อให้อาศัยอยู่กับครอบครัวในสวน
วิธีการให้น้ำ…ต้นมะม่วงแต่ละหลุมวางหัวมินิสปริงเกลอร์ไว้ประจำต้นทุกต้น ปั๊มแรงดันสูงท่อส่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ส่งไปตามท่อย่อ พีวีซี 2 นิ้ว เป็นสายหลักเข้าไปในสวน ก่อนแยกเข้าท่อหัวสปริงเกลอร์ขนาด 1/2 นิ้ว (4 หุน) น้ำสูบจากสระน้ำ กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ลึก 4 เมตร เป็นน้ำที่ซึมขึ้นมาจากตาน้ำ มีน้ำใสและมีน้ำอยู่ตลอด เนื่องจากระดับน้ำในสระจะขึ้นๆ ลงๆ ท่อดูดของปั๊มจึงใช้ท่ออ่อนเพื่อให้อ่อนตัวได้ตามการขึ้นลงของระดับน้ำที่หัวกะโหลกปลายท่อดูดติดกับลูกลอย การให้น้ำปล่อยสลับกัน ปล่อยแต่ละแถว 3-5 วัน ต่อครั้ง หรือความถี่ของการให้น้ำขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ เมื่อต้นมะม่วงจากกิ่ง 500 ต้น เจริญเติบโตแตกยอดสมบูรณ์ดี อายุพอจะตัดไปเสียบยอดกับต้นตอแก้วและตลับนาคทั้ง 700 ต้นแล้ว จึงตัดไปเสียบยอดจนครบ เมื่อใกล้ถึงฤดูหนาวได้สังเกตและคาดการณ์ระยะเวลาแล้วว่า มะม่วงควรจะออกช่อดอก จึงหยุดให้น้ำเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่หน้าแล้งผ่านมาน้ำในสระแห้งไม่เพียงพอ จนต้องเจาะบาดาลลึก 132 เมตร สูบขึ้นมาช่วยและให้น้ำถี่ขึ้นทุก 2 วัน
การให้ปุ๋ย…ให้ปุ๋ยคอกหมักค้างปี ปีละ 4 ครั้ง ประมาณต้นละ 5 กิโลกรัม ส่วนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ให้ปีละ 4 ครั้ง การใส่ปุ๋ยครั้งแรก เมื่อใกล้จะแตกใบอ่อน จึงให้ปุ๋ย สูตร 25-7-7 ในอัตรา 300-400 กรัม ต่อต้น เป็นเรื่องยากต่อการกะคำนวณปริมาณปุ๋ยที่ใส่ในแต่ละครั้ง จึงบอกให้คนงานใส่ปุ๋ย ครั้งละ 2 กระป๋อง ของกาแฟกระป๋องจะได้ปริมาณใกล้เคียงกับ 300-400 กรัม การใส่ปุ๋ย ครั้งที่ 2 หลังจากใบอ่อนเปลี่ยนเป็นใบแก่ ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ในอัตราส่วนเท่าเดิม การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 เมื่อใกล้จะออกดอกจึงใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 ใช้ปุ๋ย สูตร 13-13-21 ในอัตราเท่าเดิม และการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 4 ใส่ระยะที่ติดผล ใช้ปุ๋ย สูตร 18-24-24 ในอัตราเดิมเช่นกัน
ศัตรูพืช…โรคที่พบ เป็นโรคแอนแทรกโนส ทำลายใบอ่อน ทำให้ใบบิดเบี้ยวเป็นจุดสีน้ำตาล ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราอมิสตา แมลงที่พบระบาดทำความเสียหาย เช่น ด้วงงวงกรีดใบ แมลงค่อมทอง เพลี้ยจักจั่นมะม่วงใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงเซฟวินฉีดพ่นในช่วงแตกใบอ่อน มะม่วงเริ่มมีช่อดอกจะพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราผสมกับสารเคมีพวกคาร์โบซัลแฟน (carbosulfan) และฮอร์โมนฉีดพ่น ปกติแล้วระยะดอกบานห้ามฉีดพ่นสารเคมี เนื่องจากการฉีดพ่นสารเคมีทำให้ดอกมะม่วงได้รับความเสียหายและสารออกฤทธิ์ของสารเคมีจะทำลายแมลงที่ช่วยผสมเกสร แต่ในช่วงดอกบานมักมีศัตรูเข้าทำลายจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการฉีดพ่นสารเคมีบ้าง หลังจากมะม่วงติดผลแล้วพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราอีกครั้ง การตัดหญ้าใช้เครื่องตัดหญ้าสะพาย ตัดตามสภาพเหตุการณ์
เมื่อมะม่วงอายุได้ 2 ปี บางต้นเริ่มติดผลบ้างแล้ว ได้เด็ดทิ้งปล่อยให้ติดไว้เพียง ต้นละ 2-3 ผล เจ้าของห่อด้วยถุงคาร์บอน 2 ชั้น หรือถุงดำห่อพร้อมกันหมด จึงไม่รู้ว่าผลไหนแก่พร้อมจะเก็บ คนงานต้องแกะถุงแทบทุกถุงเพื่อเปิดดูผลที่แก่ ซึ่งเสียเวลาไปมาก เพราะยังขาดประสบการณ์ในการห่อ ผลผลิตที่ได้ในชุดแรกนี้มีจำนวนน้อยไม่กี่พันผล จึงขายได้บ้างและแจกจ่ายให้กับเพื่อนๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สวน จนเข้าสู่ปีที่ 3 ต้นมะม่วงมีความสมบูรณ์เต็มที สูงเท่าระดับศีรษะแล้วจึงให้ติดผลมากได้ เมื่อผลมะม่วงมีขนาด 11 เซนติเมตร จะห่อด้วยถุงคาร์บอน 2 ชั้น หรือถุงดำที่ซื้อมาเป็นจำนวนมากกว่า 50,000 ถุง จากตลาดคำเที่ยง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ก่อนการห่อ ผศ. พาวิน มะโนชัย ได้พาไปดูสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้รู้เทคนิคในการห่อ เขาได้แนะนำให้ทำเครื่องหมายติดไว้ที่ถุงด้วยริบบิ้นสีต่างๆ ถ้าใช้ปากกาเคมีทนน้ำก็อาจจางไปได้ ให้เย็บริบบิ้น(ใช้ที่เย็บกระดาษ) ติดกับถุงมีริบบิ้น ของ คุณเอกภพ กำหนดไว้ 11 สี หรือ 11 ชุด ห่อสัปดาห์ละ 1 สี หรือสัปดาห์ละชุด ไล่ไปเรื่อยๆ จนครบ โดยเด็ดผลที่ไม่สมบูรณ์ มีตำหนิ ผลบิดเบี้ยวออก ให้เหลือผลที่สมบูรณ์ทรงสวยเพียงช่อละ 1 ผล
การเก็บเกี่ยว…สังเกตเมื่อผลเริ่มจะแก่ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน หรือนับจากติดผล ประมาณ 100-110 วัน ใบมะม่วงเริ่มลู่ลง จึงเริ่มแกะห่อชุดแรก สังเกตก้นผลเริ่มเหลืองจึงเก็บ เลือกผลที่แก่จัดเพื่อลดปัญหาการบ่ม ผลมะม่วงที่ได้มีผิวสีเหลืองเข้มอร่ามนวลงามไร้ตำหนิ ผิวเต่งตึง ผลใหญ่ ผลไหนที่ยังไม่แก่ก็ปล่อยไว้ก่อน รอเก็บในชุดต่อไป ทยอยเก็บไปเรื่อยๆ จนหมดทั้ง 11 ชุด ดังนั้น ผลผลิตจึงออกเป็นระยะๆ มีไม่มากจนเกินไป ช่วยให้สามารถบริหารการตลาดได้ง่าย
การตลาด…มักเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมหาตลาดไว้รองรับ มะม่วงติดริบบิ้นชุดแรกที่เก็บได้นำไปเสนอขายกับร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงในเมืองลำปาง แต่ถูกกดราคาอย่างมากจึงไม่ขาย นำไปขายที่ตลาดสีเขียวหน้า ธ.ก.ส. ลำปาง ได้รับการตอบรับดี จากนั้น คุณอำไพ ผู้เป็นภรรยาเรียนที่แม่วังลำปางและแม่โจ้พร้อมกัน แต่ที่แม่โจ้ คุณอำไพเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์และสหกรณ์ ได้เสนอขายมะม่วงผ่านอินเตอร์เน็ตทางโซเชียลมีเดีย เริ่มจากเพื่อนๆ ที่ทำงานตามธนาคาร บริษัทประกันภัย และบริษัทต่างๆ ขายพร้อมกับข้าวเหนียว ได้รับการตอบรับดีมาก โดยเพื่อนๆ สั่งไปเพื่อเป็นของฝากหรือแจกให้กับผู้ร่วมงาน ขณะเดียวกันร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงในเมืองเชียงใหม่ขอให้ส่งไปทุกสัปดาห์ เนื่องจากมะม่วงที่เชียงใหม่หมดก่อนแล้วส่งได้ไม่กี่ครั้งมะม่วงก็หมดเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่ามะม่วงจากสวน จำนวน 5 ตัน จะขายได้หมดโดยไม่ผ่านตลาดขายส่งหรือส่งออกต่างประเทศ เคยมีเพื่อนชาวสวนมะม่วงชวนให้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อส่งมะม่วงออกต่างประเทศ แต่ก็ได้ปฏิเสธไป
การตัดแต่งกิ่งเพื่อลดจำนวนกิ่ง…การตัดแต่งกิ่งเร็วทำให้การแตกยอดใหม่การออกช่อย่อมเร็วตามการตัดแต่งกิ่ง เริ่มหลังจากเก็บมะม่วงหมดแล้ว เลือกตัดกิ่งที่ชี้ลงดิน กิ่งที่พุ่งเข้าหาทรงพุ่ม กิ่งกระโดง กิ่งโคนต้น เพราะกิ่งเหล่านี้มักไม่ออกช่อดอก และรูดใบทิ้งจนทรงพุ่มโปร่ง
นอกจากมะม่วงแล้ว ที่สวนได้ปลูกแก้วมังกร 100 ต้น มะนาวไร้เมล็ด 300 ต้น และไผ่กิมซุ่งอีก 100 กอระบบการให้น้ำไผ่ไม่ต่างไปจากมะม่วง ทำให้มีรายได้หมุนเวียนระหว่างที่มะม่วงยังไม่ให้ผลผลิต คุณเอกภพยังได้ทำสวนส้มสายน้ำผึ้งอยู่ที่บ้านค่ากลาง ตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง ไม่ห่างกันมากนัก จำนวน 50 ไร่ ปลูกส้มสายน้ำผึ้ง 3,000 ต้น กับมะนาวไร้เมล็ดอีก 1,000 ต้น มีคนงานประจำ 5 คน จึงต้องเดินทางไปมาระหว่างสวนส้มและสวนมะม่วงเป็นประจำ
ในอนาคต คุณเอกภพได้วางแผนไว้ว่า จะมีโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะม่วงและมะนาว ซึ่งขณะนี้คุณอำไพได้ทำน้ำมะนาวพร้อมดื่มออกจำหน่ายบ้างแล้ว โดยได้รับคำแนะนำการผลิตจากอาจารย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง
น้ำดอกไม้สีทองรุ่นแรกทำให้เจ้าของสวนมีกำลังใจกับ 3 ปี ที่ลงทุนลงแรงไป บนพื้นที่ 20 ไร่ พร้อมที่จะต้องต่อสู้ต่อไป ถึงแม้คุณเอกภพไม่มีประสบการณ์การปลูกมะม่วงมาก่อน แต่มีที่ปรึกษาที่ดี เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ผลทุกขั้นตอน ไม่ว่าคุณเอกภพหรือว่าใครก็ตาม ย่อมประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเช่นกัน…
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณเอกภพ วิญญาภาพ โทร. (093) 135-3131
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น